ธันวาคม 2018 ถือเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาด้วยการทำกัญชง (Hemp) ให้ถูกกฎหมาย ไม่น่าแปลกใจที่อุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟู คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมจากัญชงอาจเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าประมาณ $ 13.03 พันล้านภายในปี 2569 นอกจากน้ำมันและยาเหมือนกัญชา แล้วคุณอาจได้พบกับผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากกัญชงในตลาดแม้แต่ Levi Strauss & Co. จะเป็นส่วนหนึ่งของ โลกแฟชั่นโดยใช้ป่านจากใยกัญชงเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน !
Levi เป็นสัญลักษณ์ของยีนส์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทันกับเทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับการทำอะไรบางอย่างเพื่อโลกลีวายส์ก็กำลังหากระบวนการผลิตผ้าที่รักษ์โลก ในขณะที่คุณอาจเชื่อว่าฝ้ายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย แต่ความต้องการน้ำของฝ้ายนั้นสูงมากเสื้อผ้าฝ้ายต้องใช้น้ำถึงประมาณ 2,655 ลิตรสำหรับการเพาะปลูกและใช้น้ำจืดประมาณ 3,781 ลิตรสำหรนับการแปรรูป ! เหล่านี้คือข้อมูลที่รวบรวมจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม การใช้ทางเลือก ใช้ใยกัญชงสามารถลดการใช้น้ำลงได้ถึง 2 ใน 3 !
ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2019 ลีวายส์จึงร่วมมือกับแบรนดด์ OuterOWN แนะนำแจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ที่ทำจากผ้าฝ้าย 69 เปอร์เซ็นต์และป่านกัญชง 31% โดยที่ กัญชงใช้สารเคมีและน้ำน้อยกว่าฝ้ายมาก แต่ก็ยากที่จะนำมาทำเป็นเสื้อผ้าเพราะมีความกระด้าง ในขณะที่ฝ้ายนั้นได้มาจากดอกฝ้ายซึ่งมีความนุ่มนวล
กัญชงคนไทยเอามาทำเสื้อผ้าตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม Levi รู้วิธีผสมผสานจับคู่และหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ มร.ดิลลิงเกอร์ วิศวกรการผลิตของ Levi จนสามารถทำให้ได้วัสดุที่เหมาะสมในที่สุด อย่างไรก็ตาม Levi ก็ต้องรออีกประมาณ 3 ปีในการที่ประเทศทางฝั่งยุโรปจะอนุญาติให้กัญชงเป็นพืชถูกกฎหมาย
ถ้าฝ้ายผสมกัญชงสามารถรวมกับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของอุตสาหกรรมก็สามารถทำให้เกิดการปฏิวัติวงการเสื้อผ้าได้ อย่างไรก็ตามตามทฤษฎีความจริงดิลลิงเจอร์ไม่ต้องการให้ผู้คนมีความหวังสูงเกินไปในตอนนี้ กระบวนการนี้ยังอยู่ในสถานะทดสอบ และต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลง มีโอกาสมากที่กัญชงจะกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผ้าฝ้ายธรรมชาติ ดิลลิงเกอร์ เชื่อว่า เมื่องานวิจัยเสร็จสิ้น ลูกค้าจะไม่สามารถเห็นความแตกต่างที่ระหว่างผ้าฝ้ายแท้กับใยกัญชง
คนไทยเอาใยกัญชงมาทำเสื้อผ้าสวยๆ ตั้งนานแล้วอยากให้ภาครัฐและชุมชนตระหนักถึงคุณค่ารีบหาทางส่งเสริมและรักษา อย่าให้เค้าวิจัยแล้วจดสิทธิบัตรไปกินก่อน
ข่าวจาก http://www.thinkinghumanity.com/