ปลูกใบพลูส่งออก ราคาดี ตลาดต้องการสูง สร้างรายได้มหาศาลต่อปี
ใบพลูนั้นเป็นของคู่กันกับหมากมาช้านาน คนไทยจึงเรียกว่าหมากพลูคู่กันเสมอ ปัจจุบันบทบาทของหมากพลูที่แพร่หลายคือใช้เป็นเครื่องไหว้บูชาในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ หรือใช้ไหว้พระไหว้เทพเจ้า การเคี้ยวหมากพลูกลายเป็นของต้องห้ามของคนไทยตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตัดต้นหมากและพลูทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนักเพราะหมากพลูไม่ได้ใช้ประโยชน์แค่นั้น แต่ยังเป็นยาที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะพลูนั้นใช้ประโยชน์ได้เสมือนยาสามัญประจำบ้านปลูกไว้มีแต่ได้ประโยชน์
ที่ตำบลคลองใหม่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีสสวนพลูกว่า 20 ไร่ ตั้งอยู่ โดยมี คุณสิตา หิมารัตน์ หรือคุณเจี๊ยบ เจ้าของสวนพลูแห่งนี้
คุณเจี๊ยบ เล่าว่า การปลูกพลูการเกษตรที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ และเธอเอง ก็มาสืบสานอาชีพนี้ต่อ พลูเป็นพืชที่ปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ แต่จะให้ผลผลิตดีต้องปลูกในพื้นที่ที่สภาพอากาศร้อนชื้นและมีแสงแดดส่งถึงอย่างน้อย 50-60 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถปลูกได้ทุกฤดู
30 วันเก็บ 1 ครั้ง ไม่งั้นใบจะแก่เกินไป
ระยะปลูกระหว่างต้น ระหว่างแถว อยู่ที่ 1.2 เมตร คูณ 1.5 เมตร และต้องให้น้ำวันเว้นวัน และปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้ง หลังจากปลูกแล้ว 3 เดือนเก็บใบขายได้
ในพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 300 ต้น ต้นกล้า 1 ต้นราคา 20 บาท และเมื่อ คิดตค่าติดตั้งโรงเรือน ระบบน้ำ 1 ไร่ ใช้เงินทุนประมาณ 40000 บาท
ส่วน ราคาจำหน่าย จะแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ ขนาดใบใหญ่ จำหน่ายกิโลกรัมละ 70 บาท ใบขนาดกลางเป็นขนาดที่ตลาดต้องการ จำหน่ายกิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนใบขนาดเล็กจะจำหน่ายกิโลกรัมละ 30-50 บาท โดยราคาแต่ละขนาดจะปรับขึ้น-ลง ตามปริมาณใบพลูในช่วงเวลานั้นๆ
ทั้งนี้ คุณเจี๊ยบ มีคำแนะ สำหรับคนที่อยากปลูกคือ ต้องเริ่มต้นจากหาตลาดก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับ
ผู้สนใจ ติดต่อ คุณเจี๊ยบได้ที่ โทร. 062-4239236 หรือ เข้าไปดูในเพจ ขายใบพลูราคาส่ง by เจี๊ยบ
https://www.sentangsedtee.com/farming-trendy/article_7955
วิธีการขอไฟฟ้า ลงพื้นที่การเกษตรมีดังนี้
1.มีบ้านเลขที่ มีที่พักพร้อมห้องน้ำ ถ่ายรูปที่พักและห้องน้ำ เพื่อขอบ้านเลขที่ โดยต้องมีบ้านที่ต้องการ ใช้ไฟฟ้าร่วมกันมากกว่า 3 หลังขึ้นไป
2.ทำเอกสารที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่จะให้ กรอกเอกสารเพื่อรับรอง ให้แนบสำเนาทะเบียนบ้าน ของเรา และเพื่อนบ้านไปพร้อมกัน
3.ทำเอกสารที่ การไฟฟ้าในท้องที่ นำเอกสารที่ได้ทั้งหมดไป ขอใช้ไฟฟ้า
รวมเตรียมเอกสาร ที่ต้องเตรียม
1.สำเนา ทะเบียนบ้าน
2.สำเนา โฉนดที่ดิน
3.สำเนา บัตรประชาชน
4. เอกสารต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ด้านล่าง
หลักเกณฑ์ ในการขอไฟฟ้าเกษตร
1.ได้รับการรับรองจาก องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าไม่ได้เป็นเขต หวง ห้ า ม ของทางราชการ
2.การสัญจร เข้าออกง่าย สามารถติดตั้งเสาไฟ หม้อแปลงไฟฟ้า ได้ง่าย
3.มีหนังสือรับรองจาก ว่าผู้ขอใช้ ต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อการเกษตร
4.ต้องระบุแหล่งน้ำให้แน่ชัดว่า ในพื้นที่การเกษตรที่ตั้งอยู่นั้น จะใช้น้ำจากไหน เช่น คลองชลประทาน เป็นต้น
5.มีเอกสารสิทธิ์ ในการครอบครองตาม กฎหมาย
6.สามารถ ขอใช้ไฟได้ไม่เกิน 15(45) แอมป์ ต่อ 1 คน
7.ค่าใช้จ่าย ในการขยายเขต เฉลี่ยไม่เกิน 50,000 บาท
เถ้าผู้ใดสนใจก็ลองปรึกษา องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้บ้านท่านได้เลย
ผักสวนครัวสิ่งที่พวกเราคุ้นเคยเมื่อก่อนแทบทุกบ้านจะต้องมีปลูกไว้แต่เดี๋ยวนี้ด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมทำให้เราไม่ค่อยมีพรรคพวกนี้ติดบ้านเท่าไหร่เวลาจะทำอะไรก็ต้องเดินตลาดเข้าห้าง
เดี๋ยวนี้เป็นของการปลูกผักกินเองเริ่มกลับเข้ามาหลายคนอยากปลูกผักสวนครัวดูบ้างแต่ไม่มีพื้นฐานความรู้ เพราะบางโรงเรียนไม่ได้ให้เด็กปลูกผักในชั่วโมงเกษตรแล้ว เราเลยรวบรวมข้อมูลมาให้ปลูกง่ายใช้พื้นที่น้อยทำกับข้าวเล็กๆน้อยๆจะได้เด่นมาใช้ได้เลย
เคล็ดลับการปลูกให้ได้ผลให้เมล็ดงอกก็คือเอาเมล็ดผักไปวางบนกระดาษทิชชูที่ชุ่มน้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 วันแล้วดูว่าต้นไหนงอกสวยจึงค่อยใช้ปากคีบเอาไปวางในกระถางหรือถุงเพาะ
1. วิธีปลูกผักชี
นำเมล็ด ผักชี บดเบา ๆ ให้แตกออกเป็น 2 ส่วน แล้วแช่น้ำไว้ 3 ชั่วโมง นำมาตากลมอีกครั้ง ก่อนคลุกเมล็ดกับทรายและเถ้า ปลูกลงในกระถาง คลุมหน้าดินด้วยฟาง ตามด้วยรดน้ำให้ชุ่ม
2.วิธีปลูกต้นหอม
นำต้นหอมมาตัด ปลายออก เหลือเฉพาะท่อนเล็กๆ ปักชำลงในกระถางที่เตรียมไว้ รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากใบงอก แข็งแรง ให้เปลี่ยนมารดน้ำ 1 ครั้งต่อวันก็พอ
3.วิธีปลูกพริก
นำเมล็ดพริกไปแช่น้ำไว้ 1 วัน ตากให้แห้ง แล้วหันไปผสมดินร่วน ทราย และปุยหมัก เพื่อเทลงในกระถางเพาะกล้า จากนั้นหย่อน เมล็ดพริกลงไปปลูกในดิน รดน้ำให้ต้นโตสูงประมาณ 6 นิ้ว คัดเลือกเอาต้นกล้าที่แข็งแรง ปลูกในกระถางที่มีดินร่วนปนทรายและปุยหมัก รดน้ำเช้า-เย็น และตั้งให้ โดนแดด
4. วิธีปลูกกะเพรา
นำก้าน มาลิดใบออกจนหมด และตัดฐานก้าน ออกเพียงเล็กน้อย จากนั้นนำไปปัก ลงในกระถางที่มีดินร่วนผสมปุยคอก รดน้ำเช้า-เย็นให้
5. วิธีปลูกผักบุ้ง
คัดเลือกเมล็ดผักบุ้ง ที่สมบูรณ์ที่สุด ปลูกลงในดินร่วนผสมปุยคอก ภายใน 2-3 วัน จากนั้นควรดูแลเรื่องความชื้นของดินเป็นพิเศษ เพราะผักบุ้งเป็น พืชที่ชอบความชื้นมาก อย่าปล่อยให้ขาดน้ำ รออีกแค่ 1 เดือน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมากินได้
6. วิธีปลูกแตงกวา
นำเมล็ดที่ สมบูรณ์ ลงไปปลูกในกระถางประมาณ 5 เมล็ด เมื่อต้น เริ่มโตเพียง 5-7 เซนติเมตร ให้เลือกต้นที่แข็งแรงเก็บไว้ หาไม้หลักมาปัก รดน้ำให้ชุ่ม นำมาตากแดดบ้าง บางครั้ง
7. วิธีปลูกมะกรูด
นำเมล็ดมะกรูด ล้างแล้วตากให้แห้ง หว่านลงในกระถาง ที่มีดินร่วนปนทรายผสมปุยคอก เมื่อมีใบงอกออกมา 3-4 ใบ ให้ย้ายมาปลูกในถุงเพาะ รอให้ต้นแข็งแรงแล้ว ค่อยย้าย ลงไปปลูกในกระถาง ที่มีดินร่วนผสมปุยคอก รดน้ำแค่ตอนเช้าเท่านั้น
ปลูกให้ขึ้นก่อน วิธีรักษาวิธีทำให้ดกค่อยว่ากัน
ส่วนผสมเยอะนิดหน่อยแต่ได้ผลแน่นอน น้ำหมักชีวภาพดีอย่างไร ดีจริงแค่ไหน แทบไม่มีหน่วยงานใดศึกษาแบบวิทยาศาสตร์...เลยเป็นช่องทางให้มีการอวดอ้างสรรพคุณ จริงบ้าง ยกเมฆบ้าง สุดท้ายเกษตรกรกลายเป็นเหยื่อ
แต่วันนี้มีน้ำหมักชีวภาพสูตรสำเร็จ วิจัยแล้วโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน...ได้น้ำหมักสูตรเสมือนครอบจักรวาล อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ ช่วยเมล็ดงอกดี โตวันโตคืน แถมต้านทานโรค เหมาะกับพืชทุกชนิด โดยเฉพาะผักสวนครัว
“จากการทดสอบน้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆที่ได้รับความนิยมจากเกษตรกรทั่วประเทศ เมื่อนำมาทดสอบประสิทธิภาพ ในสภาวะการทดลองแบบควบคุม เราพบน้ำหมักชีวภาพสูตรหนึ่ง มีคุณสมบัติเด่น มีประสิทธิภาพมากที่สุดเหมาะที่เกษตรกรนำมาใช้ได้จริง”
กรรมวิธีผลิตต้องทำอย่างไร รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน อธิบาย ก่อนอื่น เตรียมส่วนประกอบ...ฝรั่ง 64 กก. มะละกอ 8 กก. แตงไทย 8 กก. กากน้ำตาล 20 กก. น้ำ 20 ลิตร สารเร่ง (พด.2) 2 ซอง
หั่นฝรั่ง มะละกอ และแตงไทย ให้เป็นชิ้นเล็ก ใส่ถังหมักขนาด 120 ลิตร ละลายกากน้ำตาลในน้ำสะอาด 20 ลิตร ใส่ พด.2 คนให้เข้ากัน เทส่วนผสมทั้งหมดใส่ถังหมัก ปิดฝาถังให้แน่น เปิดฝาคนทุกๆ 3 วัน เมื่อครบ 45 วัน นำมากรองด้วยผ้ามุ้งสีฟ้า เอาเฉพาะน้ำ...จะได้น้ำหมักชีวภาพ 100 ลิตร
จากการทดลองในต้นหอม ผักชี ผักกาดหอม พริก ใช้น้ำสกัดชีวภาพเข้มข้นผสมน้ำ ในอัตรา 1:500...นำเมล็ดพันธุ์มาแช่ในน้ำหมักเมล็ดงอกเร็วขึ้น 20-30% รากยาวกว่า ต้นกล้ายาวกว่าการงอกแบบธรรมดา...เมื่อนำต้นกล้าลงปลูก นำน้ำหมักผสมน้ำในอัตราเดียวกัน รดพืชทุกสัปดาห์จนกระทั่งเก็บเกี่ยว พบว่าให้ผลผลิตสูงขึ้น 15-30% เมื่อเทียบกับการปลูกแบบเดิม
รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่า น้ำหมักชีวภาพสามารถเร่งโต เพิ่มผลผลิตในพืชน่าจะเกิดจากการผสมของวัตถุดิบทำให้เกิดจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสารส่งเสริมการเจริญเติบโต เช่น Indol-3-acetic acid (IAA), จิบเบอเรลลิน, ออกซิน, ไซโตไคนิน ...จิบเบอเรลลินซึมเข้าเมล็ด กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีทำให้งอกเร็ว รากยาว ต้นใหญ่สมบูรณ์ ส่วนไซโตไคนินจะกระตุ้นการแบ่งเซลล์ ขยายขนาดเซลล์เมล็ด ทำให้ยิ่งงอกเร็วขึ้นอีก
ส่วนให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น มาจากการทำงานร่วมกันของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายโมเลกุลสารอินทรีย์ให้เล็กลง จนมาอยู่ในรูปธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการเพิ่มสารอาหารให้พืช...ส่วนออกซิน, จิบเบอเรลลิน, ไซโตไคนิน ช่วยสร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโต แถมยังได้ไรโซเบียม อะโชโตแบคเตอร์ มาช่วยตรึงไนโตรเจน ทำให้พืชได้ปุ๋ยไนโตรเจนเต็มที่ ขณะเดียวกัน น้ำหมักสูตรนี้ยังทำให้เกิดจุลินทรีย์บางชนิด มาช่วยกำจัดจุลินทรีย์ก่อโรคพืชไปพร้อมกัน
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ
ไผ่ยักษ์น่าน (Dendrocalamus Giganteus ) เป็นไผ่ที่มีแหล่งกำเนิดที่ ดอยติ้ว อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ขนาดของลำต้น เมื่อโตเต็มวัย สามารถโตได้ถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12-16 นิ้ว ปัจจุบันจะมีเพียงไผ่มังกร (Dendrocalamus Sinicus) มีถิ่นกำเนิดที่ดินแดนสิบสองปันนา ประเทศจีน ที่มีขนาดลำ ใกล้เคียงกับไผ่ยักษ์น่าน เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศท่ี่สมบูรณ์
“นายธูป นาคเสน” หรือ “โต้ง” เจ้าของสวนไผ่ยักษ์น่าน เล่าว่า ได้เห็นไผ่ยักษ์นี้ ในหมู่บ้านของตนเอง แต่ไม่เคยเห็นมีใครสนใจ หรือ คิดที่จะนำไผ่ยักษ์ มาทำประโยชน์ทางการค้า วันหนึ่งได้เห็นร้านกาแฟแห่งหนึ่งแถวบ้าน นำไผ่ยักษ์ มาตกแต่งร้าน มีความสวยงาม และดูน่าสนใจ เกิดความคิดว่า ทำไมเราไม่ปลูกไผ่ยักษ์นี้เพื่อการค้า ตอนนั้นผมทำอาชีพรับเหมาจัดสวน และจำหน่ายพันธุ์ไม้ รายได้ก็ไม่ดีนัก เกิดความคิดว่า ทำไมเราไม่เพาะต้นไผ่ยักษ์ขาย เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถ้าทำสำเร็จเราก็จะเป็นรายแรก'
นายธูป นาคเสน เจ้าของ
พอคิดว่าจะเพาะพันธุ์ไผ่ยักษ์ขาย เริ่มค้นหาข้อมูล จากคนเก่าคนแก่ในพื้นที่ และหาข้อมูลทางวิชาการ พร้อมกับการทดลองเพาะและขยายพันธุ์กล้าไม้ไผ่ยักษ์ไปด้วย ทำให้รู้ว่า ทำไมถึงไม่มีใครเพาะหรือ ขยายพันธุ์ไผ่ยักษ์ เนื่องจากเพาะและขยายพันธุ์ยากมาก ครั้งแรกที่เริ่มทำรอดเพียง ร้อยละ 5 -10 เท่านั้น ปีแรกขาดทุนไปกว่า 4 แสนบาท
“ผมได้ลองผิดลองถูกในการขยายพันธุ์ไผ่ยักษ์ อยู่นานถึง 3 ปี ปีแรกลองปลูกไผ่บนพื้นที่ 10 ไร่ ใช้ต้นไผ่ถึง 20,000 หน่อ มีไผ่ที่รอดเพียง 300 ต้น แต่ผมก็ไม่ลดละ ความพยายามหาข้อมูล และวิธีการปลูก เทคนิคต่างๆ ต้นไหนตายก็หาต้นใหม่มาปลูก จนปีที่ 3 ประสบความสำเร็จ ได้ต้นไผ่ที่มีขนาด 10 นิ้ว ตอนนั้นได้ต้นไผ่กว่า 1 หมื่นต้น ตัดขายในราคาลำละ 2,000 บาท"
3 ปีแรก ขายต้นพันธุ์ ไผ่ยักษ์ ซื้อที่ดินหลักร้อยไร่
หลังจากประสบความสำเร็จ จากการปลูกไผ่ยักษ์ ในช่วงแรกเน้นการเพาะขยายและจำหน่ายต้นพันธุ์ เพราะหลังจากโปรโมทออกไป มีเกษตรกรสนใจ และซื้อไปทดลองปลูกกันเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบัน สามารถขายต้นพันธุ์ไปได้กว่า 1 แสนต้น ลูกค้าเป็นเกษตรกรจากทั่วประเทศ ซึ่งพิสูจน์ได้จากลูกค้า ว่า ไผ่ยักษ์สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่อาจจะไม่ได้ลำต้นที่ใหญ่เท่ากับการปลูกบนดอยติ้ว ที่ท่าวังผา โดยไผ่ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ ดอยติ้ว ท่าวังผา จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16-18 นิ้ว ขณะที่การปลูกในพื้นที่อื่นได้ไผ่ใหญ่สุดได้ 12-14 นิ้ว
สำหรับราคาต้นพันธุ์ไผ่ยักษ์ ในปีแรกๆ ผมขายในราคาต้นละ 400 บาท ซึ่งราคาเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของลูกค้าที่ลดลง จาก 400 บาทในปีแรกๆ ลดเหลือต้นละ 300 บาท และ ปัจจุบันผ่านมากว่า 10 ปี ราคาอยู่ที่ต้นละ 200 บาท โดยจำหน่ายต้นพันธุ์ออกไปแล้วกว่า 1 แสนต้น
“นายธูป” เล่าว่า จากจุดเริ่มต้นที่เริ่มทดลองปลูกและขยายพันธุ์ต้นไผ่ยักษ์ มาจนถึงปัจจุบันผ่านมา 10 ปี ได้ขยายพื้นที่การปลูกไผ่ยักษ์จำนวน 700 ไร่ มีรายได้จากการจำหน่ายลำต้นไผ่ยักษ์ จำหน่ายต้นพันธุ์ และหน่อไม้ ประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท โดยไผ่ที่สามารถตัดต้นขายได้อายุประมาณ 3 ปี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ในราคาลำละ 2,000 บาท แต่ถ้าปล่อยให้ไผ่โตไปเรื่อย ใหญ่ได้มากถึง 14-16 นิ้ว สามารถขายได้ราคาต้นละ 4,000 บาท
ตลาดต่างประเทศ… ต้องการสูง
ทั้งนี้ ความต้องการต้นไผ่ยักษ์ เพื่อนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ยังมีอยู่สูงมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ผลผลิตที่ได้ยังไม่เพียงพอ โดยตลาดต่างประเทศที่ต้องการไผ่ยักษ์ มีหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ แม้แต่จีนที่สามารถปลูกไผ่ยักษ์ได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องการไผ่ยักษ์จากประเทศไทย
“นายธูป” ได้เปรียบเทียบ ราคาเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ไผ่ยักษ์ และไม้ไผ่ธรรมดา ราคาแตกต่างกันมาก เช่น ชุดเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ โต๊ะกลาง ทำจากไม้ไผ่ยักษ์ ราคาประมาณ 3-4 หมื่นบาท แต่ถ้าเป็นไม้ไผ่ทั่วไป มีราคาหลักพันบาทคือ ประมาณ 4-6 พันบาท เท่านั้น และสาเหตุที่ทำให้ตลาดต่างประเทศ มีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ยักษ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก มาจาก ปัจจุบันมีเทคโนโลยี เข้ามาช่วยทำให้ค้นพบวิธีการอบไม้ และน้ำยาที่ใช้ช่วยป้องกันแมลง หรือ มอดที่จะมาทำลายเนื้อไม้ไผ่ได้เป็นผลสำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ ไปใช้ ก็ไม่ต้องกังวล แมลงและมอด ที่สำคัญ ไผ่เป็นไม้ที่มีความคงทน แข็งแรงไม่แพ้ ไม้เนื้อแข็ง หรือ ไม้สัก เลยทีเดียว
หน่อไม้ใหญ่มาก นำไปทำหน่อไม้ดอง
ในส่วนของเกษตรกรที่ปลูกเพื่อตัดหน่อไม้ขาย อย่างเดียว ตอนนี้ ยังไม่มี เพราะความต้องการลำไม้ไผ่ยักษ์ ยังมีอยู่อีกมาก และราคายังสูงอยู่ แต่เกษตรกรที่ตัดหน่อขายก็มีเช่นกัน แต่เริ่มขายตอนหน่ออายุ 1 ปี น้ำหนักประมาณ 4-6 กิโลกรัม แต่ถ้าปล่อยให้หน่อโต ใหญ่ถึง 20-30 กิโลกรัม หรือ ใหญ่สุด น้ำหนัก 50-60 กิโลกรัม ก็มีกลุ่มลูกค้า ที่ซื้อเพื่อนำไปทำหน่อไม้ดอง เพราะมีขนาดใหญ่เอาไปกินครั้งเดียวก็คงไม่หมด ก็ ข้อดีของหน่อไผ่ยักษ์ เมื่อเทียบกับไผ่อื่นๆ นอกจากขนาดแล้ว รสชาติที่หวานอร่อยกว่า ไผ่ทั่วไป ทำให้ราคาหน่อไม้ยักษ์ อยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท
ข้อดีของการปลูกไผ่ คือ ปลูกหรือ ลงทุนครั้งเดียว เก็บผลผลิตไปได้ตลอดหลายสิบปีและที่สำคัญไม่ต้องดูแลรักษา เหมือนกับพืชอื่นๆ ดูแลให้น้ำและปุ๋ย ช่วงปีแรกที่ปลูก หลังจากนั้นเติบโตเอง พอถึงเวลาคอยเก็บเกี่ยวผลผลิต โดย 1 ไร่ จะใช้ต้นกล้าประมาณ 64 ต้น ผ่านไป 3 ปี ตัดขายได้ มีรายได้ต่อไร่ ต่อปี ประมาณ 3-4 หมื่นบาท
“นายธูป” เล่าว่า เดิมรับเหมาจัดสวน และจำหน่ายพันธุ์ไม้ มีรายได้ไม่มาก มีหนี้สิน แต่พอได้มาจับตลาดต้นไผ่ยักษ์ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ และ พื้นที่ 700 ไร่ที่ปลูกในปัจจุบัน มาจากน้ำพักน้ำแรง จากการปลูกไผ่ยักษ์ ช่วง 3-4 ปีแรก ที่เริ่มขายต้นพันธุ์ สร้างรายได้จำนวนมาก ค่อยซื้อที่ดิน เพิ่ม ครั้งละ 100 ไร่ จนวันนี้ มีถึง 700 ไร่ ทั้งหมดจากการปลูกไผ่ยักษ์ขาย ถึงวันนี้ ทุกอย่างลงตัว เพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่ม คอยเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างเดียว ไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน …
ความสำเร็จ ของ “คุณธูป” ในวันนี้ มาจากมองเห็นโอกาส จากสิ่งที่คนในชุมชน อาจจะมองข้าม เพราะไผ่ยักษ์ อยู่กับคนในชุมชนนี้ มานับร้อยปี เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร จนวันหนึ่งคนข้างนอก เข้าไป เขาถึงได้รู้ว่า นี่คือ สิ่งพิเศษ ของดีที่ธรรมชาติ และบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ และการที่เขาเป็นคนแรกที่คิดทำและทำสำเร็จ ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ประกอบกับสิ่งที่ตลาดมีความต้องการ ยิ่งบวกทวีคูณ ความสำเร็จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
จนวันนี้ ผ่านมา 10 ปี เขาเป็นเกษตรกรที่สามารถเก็บเงิน ซื้อที่ดินจำนวน 700 ไร่ได้สำเร็จ ซึ่งมีไม่กี่รายสำหรับเกษตรกรเมืองไทย และถ้าต้องการเป็นเกษตรกรยุคใหม่ 4.0 ประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องมองหาโอกาสให้เจอ เฉกเช่น เกษตรกรรายนี้
สนใจ โทร. 08-0120-4709
Page 3 of 4